วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หลายชายเป็นออทิสติก

                  พี่สาวคลอดลูกได้ประมาณเกือบ 2 ปีแล้ว แต่หลานชายไม่พูดสักทีก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรมาก แต่พอลองมาปรึกษาหมอที่โรงพยาบาลดูหมอบอกว่าอาจจะเป็นออทิสติ ฉันเลยกับไปสังเกตหลานชายว่ามีอาการแบบที่แพทย์บอกหรือเปล่า อาการที่สังเกตได้ ไม่สบตาฉัน ชอบเล่นอยู่คนเดียว  ร้องเรียกก็ไม่สนใจในเสียง  ชอบทำอะไรซ้ำๆ แค่นี้น่าจะเข้าข่ายของออทิสติกแล้วน่ะ
               ออทิสติก    หมายถึง  เด็กที่มีพัฒนาการแตกต่างไปจากเด็กปกติ และส่งผลกระทบต่อการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความสามารถในการสื่อสาร การใช้จินตนาการ  อารมณ์ และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของเด็ก
              หลักการเลี้ยงดูเด็กออทิสติก
*ยอมรับและเข้าใจความต้องการพิเศษของเด็ก
*ให้ความรักและความสนใจในตัวเด็ก
*พัฒนาและช่วยเหลือเด็กให้ช่วยเหลือตนเองได้
*ชมเชยและชื่นชม เมื่อเด็กมีการแสดงออกที่เหมาะสมเพื่อให้เด็ก
รู้สึกภูมิใจและมั่นใจ
*สอนเด็กอย่างต่อเนื่อง มีการวางแผนอย่างสม่ำเสมอ จัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย และความสามารถของเด็ก
*กระตุ้นทักษะทางภาษาอย่างต่อเนื่อง พูดคุยโต้ตอบขณะที่เด็กมีกิจกรรมต่าง ๆ
*สอนทักษะทางสังคมที่เหมาะสมแก่เด็ก เริ่มจากการมองสบตา ทักษะการฟัง การเล่นกับกลุ่ม การรอคอย พยายามพาเด็กออกสู่สังคมจริง และสอนในทุกสถานการณ์อย่างเข้าใจ ใจเย็นและอดทน
*สอนเหมือนเด็กทั่วไปให้รู้จักการช่วยเหลือตนเองตามวัย ตามความสามารถและข้อจำกัดของเด็ก
*เปิดโอกาสให้เด็กได้ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองภายในการดูแลและการให้กำลังใจของคนในครอบครัว
*ฝึกให้เด็กมีระเบียบวินัย เช่น การรู้จักเข้าแถวการรอคอย รู้จักกฎกติกาในการเล่น และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
              ลักษณะที่เด่นชัดของเด็กออทิสติก   ปัญหาด้านความสัมพันธ์
*ไม่สบตากับผู้อื่น
*ขาดความสนใจบุคคลรอบข้าง
*ไม่เล่นกับเด็กคนอื่น ๆ
ปัญหามีพฤติกรรมแปลก ๆ
*ทำท่าทางแปลก ๆ
*หัวเราะไม่สมเหตุสมผล
*ชอบหมุนวัตถุ
*สนใจวัตถุ / สิ่งของซ้ำ ๆ
ปัญหาทางภาษา
*การสื่อสารกับคนอื่นไม่เข้าใจ
*พูดเรียนแบบเหมือนนกแก้ว
*พูดเรื่องเดียวซ้ำ ๆ
ปัญหาด้านการรับรู้
*ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงในชีวิต  เช่นสถานที่
*การรับรู้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผิดปกติ เช่น ทากาว
ปัญหาที่พบบ่อย ๆ ของเด็กออทิสติก
*ผลกระทบจากภาพและเสียง
*ชอบกินอาหารชนิดเดิมซ้ำๆ   ไม่ยอมกินอาหารบางอย่าง
*การใช้ห้องน้ำ
*การติดเสื้อผ้าตัวเดิม
*ชอบพูดเลียนซ้ำคำพูดหรือเพลงโฆษณาในโทรทัศน์
*ความจำสัญลักษณ์ต่าง ๆ  เวลา
*การกระตุ้นตนเอง
*ปัญหาการนอน
                    สาเหตุของการเป็นออทิสติก
ในวงการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุของความผิดปกติที่ชัดเจนแต่ในปัจจุบันจากการศึกษามีหลักฐานสนับสนุนว่าน่าจะเกิดจากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ
มากกว่าเป็นผลจากการเลี้ยงดูหรือสิ่งแวดล้อม
                    อาการของโรคออทิสติก
ออทิสติก เป็นโรคที่มีความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้าน โดยที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ผู้ป่วยจะมีความผิดปกติของพัฒนาการ 3 ด้าน ที่มีอาการต่าง ๆ ดังนี้
-ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เด็กจะไม่สบตา ไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า สร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนไม่ได้
-ด้านพฤติกรรมจะมีการหมกมุ่นทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ ทำกิริยาซ้ำ ๆ วนไปวนมา สนใจและหมกมุ่นกับกิจกรรมและสิ่งของบางอย่าง
-ด้านการสื่อสาร จะมีการพัฒนาทางการพูดช้าและเริ่มสนทนา หรือสนทนาต่อเนื่องไม่ได้ ชอบพูดทวน
 คำถาม
                 ในปัจจุบัน โรคออทิสติกมีอุบัติการณ์สูงขึ้นมาก หากท่านสงสัยว่าเด็กจะเป็นออทิสติก ควรมารับการตรวจโดยละเอียดจากแพทย์
                  การรักษาเด็กออทิสติกด้วย HBO
เป็นการรักษาด้วยการให้ผู้ป่วยหายใจเอาออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% เข้าไปภายใต้ความดันสูง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนในปริมาณที่สูงกว่าปกติ เพื่อเป็นการรักษาต้นเหตุที่มาจากแนวคิดของการเกิดออทิสติกจากการมีเลือดไปเลี้ยงที่สมองน้อย โดยแพทย์ผู้รักษาด้าน HBO จะกำหนดให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาครั้งละ 1 ชั่วโมง จำนวน 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ การรักษาด้วย HBO จะช่วยในการแก้ไขปัญหาความผิดปกติของพฤติกรรม การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และการสื่อสารของเด็ก แพทย์จะประเมินผู้ป่วยทุกครั้งก่อนเข้าเครื่อง HBO รวมทั้งให้ผู้ป่วยประเมิน BQ Test (Behavior Quotient Test) ในครั้งแรกและทำ BQ Test ทุก 40 ครั้งหลังจากการรักษาด้วยเครื่องไฮเปอร์แบริค เพื่อเป็นการวัดผลของการรักษาอย่างเป็นรูปธรรมนอกจากการรักษาด้วย HBO ดังกล่าวแล้ว การรักษาโรคออทิสติกยังต้องทำแบบบูรณาการโดยความร่วมมือของบุคลากรทางการแพทย์หลาย ๆ ส่วน ดังนี้
*กุมารแพทย์พัฒนาการ (จิตแพทย์เด็ก) ตรวจวินิจฉัยเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าหรือผิดปกติ และให้ คำแนะนำการรักษาแบบบูรณาการ ประเมินความจำเป็นในการต้องปรับพฤติกรรม การฝึกพัฒนาการ การฝึกพูด หรือการทำกายภาพบำบัด การใช้ยาเพื่อรักษาโรคที่พบร่วม เป็นต้น
*นักจิตวิทยาคลินิก ให้การรักษาเพื่อปรับพฤติกรรมซ้ำ ๆ หรือผิดปกติของผู้ป่วย รวมทั้งทำการ ประเมิน IQ และ BQ Test เพื่อติดตามผลการรักษาโดยรวมอย่างเป็นรูปธรรม สำหรับการปรับพฤติกรรมนั้นจะทำทั้งแบบเดี่ยว และแบบกลุ่ม
*ครูฝึกพัฒนาการ จะฝึกทักษะให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และฝึกการใช้กล้ามเนื้อมัด เล็ก เช่น การหยิบจับวัตถุเล็ก ๆ การเขียนหนังสือ ฝึกทักษะการแก้ปัญหา โดยจะมีการฝึกทั้งแบบเดี่ยวและกลุ่มตามความจำเป็นของโรค
*ครูฝึกพูด ในเด็กที่มีปัญหาเรื่องการพูด พูดไม่ได้ พูดไม่ชัด พูดไม่เป็นภาษา ครูฝึกพูดจะฝึกการ ออกเสียงเกี่ยวกับการพูดและฝึกการสนทนา เพื่อแก้ไขปัญหาด้านการพูดที่ไม่มีความหมายหรือพูดไม่ชัด
*นักกายภาพบำบัด ฝึกการใช้กล้ามเนื้อ สำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อไม่สมดุล เช่น ผู้ป่วยที่เดิน อ่อนแรง มือหยิบจับอะไรได้ไม่ดี ผู้ป่วยสะบัดมือบ่อย ๆ หรือกล้ามเนื้อเกร็ง เป็นต้น
*รักษาด้วยวิธีโภชนาการ กุมารแพทย์ด้านโภชนบำบัดจะมีแนวคิดในด้านของอาหารที่ส่งผลต่อ อาการของโรค รวมทั้งการใช้วิตามินและสารอาหารในการรักษาโรคออทิสซึม การดูแลรักษาเด็กออทิสติก ถ้าเริ่มตั้งแต่ช่วงอายุ 2-3 ปี จะพบว่าอาการของโรคจะรักษาได้ผลดีกว่าและ เร็วกว่าการรักษาในเด็กที่อายุมากขึ้น เพราะฉะนั้นการวินิจฉัยโรคได้เร็ว และเริ่มให้การดูแลรักษาตั้งแต่อายุน้อย ๆ และทำอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาเด็กให้หายเป็นปกติเข้าสู่สังคมได้

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คอติดเชื้อ เจ็บคอมาก

                    วันนี้กลับบ้านไปเจอหลานสาวป่วย มีอาการตัวร้อน  เจ็บคอมาก  ทานอาหารน้อยลง มีไข้ขึ้นสูง ก็เลยให้หลานอ้าปากให้ดูส่องไฟฉายเข้าไปดูในคอ ผลปรากฏว่าต่อมทอนซิลบวมแดงและมีสีเหลืองติดอยู่ ก็เลยพาหลานไปหาหมอจะดีกว่ากินยาโดยไม่รู้ต้นเหตุของอาการ สงสารหลานสาวมาก
      ต่อมทอนซิล (tonsils)  เป็นกลุ่มของเนื้อเยื่อประเภทต่อมน้ำเหลือง  มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ภายในต่อม มีเม็ดเลือดขาวหลายชนิด มีหน้าที่หลักคือ การจับและทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายทางทางเดินอาหาร  หน้าที่รองลงมาคือ สร้างภูมิคุ้มกัน ต่อมทอนซิลพบได้หลายตำแหน่ง ต่อมที่เราเห็น จะอยู่ด้านข้างของช่องปาก มีชื่อเรียกว่า พาลาทีนทอนซิล (palatine tonsil)  นอกจากนั้น  ต่อมทอนซิลยังพบได้บริเวณโคนลิ้น (lingual tonsil) และช่องหลังโพรงจมูก (adenoid tonsil)
                   ทอนซิลอักเสบ (tonsillitis) เป็นภาวะอักเสบของต่อมทอนซิลส่วน " คออักเสบ " (pharyngitis) มักใช้เรียก ภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอที่อยู่บริเวณหลังช่องปากเข้าไป  บางครั้ง ภาวะทั้งสอง อาจเกิดพร้อมกันได้ส่วนใหญ่แล้วโรคต่อมทอนซิลพบมากที่สุดในเด็กอายุก่อน10 ปี  เพราะหลัง 10 ปีไปแล้วต่อมทอนซิลจะทำงานน้อยลง หรือไม่ทำงานเลย แต่ในผู้ใหญ่อายุน้อยกว่า 20 ปี ก็ยังเป็นโรคต่อมทอนซิลอักเสบได้ ส่วนใหญ่มักจะไม่พบทอนซิลอักเสบในคนไข้วัยกลางคนไปแล้ว  ผู้ป่วยที่มีทอนซิลอักเสบเฉียบพลันจะมีอาการไข้ หนาวสั่น  เจ็บคอ  กลืนลำบากโดยเฉพาะ เวลากลืนอาหารจะเจ็บมาก  คนไข้เด็กจะมีอาการน้ำลายไหล เพราะกลืนลำบาก และน้ำลายจะไหลลงไปไม่ได้ ก็จะไหลออกมา  หรือคนไข้เจ็บคอมากๆ อาจมีอาการอาเจียนหลังจากรับประทานอาหาร  เพราะการรับประทานอาหารจะรบกวนลำคอที่เจ็บอยู่
               โรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรียพบเชื้อรา หรือเชื้อวัณโรคได้น้อย โรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน ในเด็กก่อนวัยเรียน มักจะเกิดจากเชื้อไวรัส และติดต่อกันได้ง่าย เพราะไม่รู้จัก การป้องกัน การติดต่อเกิดจากการหายใจ ไอ จาม หรือใช้ภาชนะที่รับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำรวมกัน  ส่วนโรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน ในเด็กโตและผู้ใหญ่ มักจะเกิดจาก การติดเชื้อแบคทีเรีย
                การรักษาทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน: ปกติแพทย์จะให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาบรรเทาอาการเจ็บคอ ยาลดน้ำมูก หรือลดไข้ ให้ยาต้านจุลชีพ หรือยาแก้อักเสบ เพื่อกำจัดเชื้อต้นเหตุ ถ้าการอักเสบนั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย  และควรรับประทานยาดังกล่าวให้นานพอ เช่น 7-10 วัน  ซึ่งในปัจจุบัน ยาในกลุ่มเพนนิซิลิน ยังใช้ได้ผลดี ยกเว้นเชื้อบางกลุ่ม ที่พบว่าดื้อยาแล้ว แพทย์จึงจำเป็น ต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่แรงขึ้น ในรายที่มีอาการมากๆ เช่น เจ็บคอมาก จนรับประทานอาหารไม่ได้ และมีไข้สูง  แพทย์อาจแนะนำให้นอนพักรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้น้ำเกลือ และยาต้านจุลชีพทางหลอดเลือดดำ ซึ่งจะทำให้อาการทุเลา ดีขึ้นเร็วกว่า การให้ยากลับไปรับประทานที่บ้าน  หากแพทย์พิจารณาว่า มีสาเหตุมาจากไวรัส ก็จะให้ยาตามอาการเท่านั้น เพราะยาต้านจุลชีพ ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา การอักเสบของต่อมทอนซิล อาจจะกระจายกว้างออกไป จนเกิดเป็นหนอง บริเวณรอบต่อมทอนซิล (peritonsillar abscess) แล้วอาจลุกลาม ผ่านช่องคอ เข้าสู่ช่องปอด และหัวใจได้  นอกจากนั้น เชื้อแบคทีเรีย อาจเข้ากระแสเลือด แล้วกระจายไปทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายอย่างมาก เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ โรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส (Streptococcus) สามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนของโรคหัวใจ และโรคไตได้    
                  การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องของผู้ป่วยมีส่วนทำให้อาการดีขึ้นเร็ว ถ้ามีอาการเจ็บคอ หรือระคายคอร่วมด้วย ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้มที่ไม่ร้อนจนเกินไป  หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ด หรือรสจัด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้เสียงชั่วคราว ควรพยายามทำความสะอาดคอบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร ด้วยการแปรงฟัน หรือกลั้วคอด้วยน้ำยาบ้วนปาก, น้ำเกลืออุ่นๆ  หรือน้ำเปล่าหลังอาหารทุกมื้อ เนื่องจากการที่ไม่รักษาความสะอาดในช่องปากให้ดี อาจมีเศษอาหารตกค้างในช่องปากและลำคอ  ทำให้ทอนซิลอักเสบมากขึ้นได้
                น้ำยาบ้วนปากจะช่วยลดปริมาณของเชื้อแบคทีเรียได้บ้าง (ชั่วคราว)  ในรายที่มีการอักเสบติดเชื้อบริเวณคอ น้ำยาบ้วนปากบางชนิด อาจมีส่วนผสมของยาลดการอักเสบหรือ ยาชา ช่วยลดอาการเจ็บคอได้ น้ำยาบ้วนปากมีหลายชนิด ควรเลือกใช้ชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือมีน้อยที่สุด เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องปาก   หลีกเลี่ยงน้ำยาที่มีส่วนผสมของกรด เพราะจะทำให้ผิวฟันกร่อน  เคลือบฟันบางลง และเกิดอาการเสียวฟันตามมาได้   ถ้าใช้แล้วรู้สึกว่ามีอาการเจ็บคอ หรือระคายคอมากขึ้น ก็ไม่ควรใช้ ก่อนใช้ต้องศึกษาส่วนผสมและวิธีใช้ข้างขวดให้ดีก่อน ให้ใช้ในปริมาณพอเหมาะ ระยะเวลานานพอควร ถ้าเป็นแบบเข้มข้น ควรเจือจางเพื่อหลีกเลี่ยงอาการแสบร้อน ระคายคอ  เราสามารถทำน้ำยาบ้วนปากได้เองง่ายๆ โดยใช้เกลือป่นประมาณครึ่งช้อนชา ถึงหนึ่งช้อนชาละลายในน้ำอุ่นค่อนแก้ว ใช้บ้วนปากได้ดี ประหยัด และปลอดภัย
                 หากเป็นต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลันบ่อยๆ ต่อมทอนซิลจะโตขึ้น แล้วเปลี่ยนสภาพ เป็นแบบเรื้อรัง และอาจมีการอักเสบอย่างเฉียบพลันเป็นๆหายๆได้ การที่ต่อมทอนซิลโต จะทำให้เกิดร่อง หรือซอก ซึ่งเศษอาหารอาจเข้าไปตกค้างอยู่ได้ อาจทำให้เกิดการอักเสบยืดเยื้อออกไป
              โดยทั่วไป แพทย์จะพิจารณาตัดต่อมทอนซิลเมื่อ
เป็นภาวะต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือเกิดการอักเสบ ปีละหลาย ครั้ง หลายปีติดต่อกัน ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง เช่นต้องขาดงาน หรือขาดเรียนบ่อย
เมื่อต่อมทอนซิลโตมากๆ ทำให้เกิดอุดกั้นทางเดินหายใจ และมีอาการนอนกรน และ/ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับตามมา
ผู้ป่วยที่มีต่อมทอนซิลโต และแพทย์สงสัยว่า อาจเป็นมะเร็งของต่อมทอนซิลโดยตรง หรือมีมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ แล้วหาตำแหน่งมะเร็งต้นเหตุไม่เจอ แต่แพทย์สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งที่มาจากต่อมทอนซิล
              การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออก เป็นการกำจัดไม่ให้ต่อมทอนซิลติดเชื้อบ่อย สำหรับผู้ป่วยเด็กทางเดินหายใจก็จะโล่งขึ้นด้วย ในการตัดต่อมทอนซิลทิ้ง ไม่มีข้อเสีย  เมื่อตัดทิ้งตามข้อบ่งชี้ที่ถูกต้องและเหมาะสม ต่อมทอนซิลที่ตัดทิ้ง มักจะเป็นต่อมที่ไม่ทำงานแล้ว จึงไม่ฆ่าเชื้อโรค  แต่จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคแทน เนื่องจากมีต่อมน้ำเหลืองในช่องคออีกมากมาย ที่ทำงานจับเชื้อโรคแทนต่อมทอนซิลได้ การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออกจึงไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือของช่องปากลดลงแต่อย่างใด   

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มะขามทำท้องเสียได้

     วันนี้เดินทางไปต่างจังหวัดระหว่างเดินทางรู้สึกง่วงนอนมาก  เลยคิดว่าต้องหาอะไรที่มันรสจัดๆ กินแก้ง่วงดีกว่า ขับผ่านร้านค้าข้างทางมีแต่ร้านขายมะขามหวาน คือจังหวัดเพชรบูรณ์เรานี้เอง ก็เลยแวะซื้อมะขามจี๊ดจ๊าด 1 กระปุก ท่านระหว่างเดินทาง ท่านเข้าไปมากก็เลยมีอาการปวดท้องขึ้นมาทันที่ ปวดท้องเข้าห้องน้ำ สงสัยท้องคงจะเสียสะแล้วเรา แวะปั้มน้ำมันดีกว่าเราไม่ไหวแล้ว  มะขามใครก็ท่านได้แต่ต้องระหว่างเรื่องท้องเสียเป็นหลักในระหว่างการเดินทาง

           ท้องเสียคือ  ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเดิน ลงท้อง คือภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือเกิดความผิดปกติในการถ่ายอุจจาระ  ตามปกติแต่ละคนจะมีจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระในแต่ละวันไม่เท่ากัน บางคนอาจจะถ่ายวันละ 2 - 3 ครั้ง ในขณะที่บางคน 2 - 3 วันจึงจะถ่ายสักครั้ง ท้องเสียจะมีอาการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำที่บ่อยขึ้น อาจจะมากกว่า 3 ครั้งใน 1 วัน อาการนำของการเกิดท้องเสียนั้นก็คือ ลำไส้จะมีการเคลื่อนไหวหรือบีบตัวอย่างมาก ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ถ่ายง่าย และอ่อนเพลียเมื่อมีการถ่ายบ่อยครั้งขึ้น
               อาการท้องเสีย แบ่งได้เป็น 2 ชนิด
1. ท้องเสียชนิดเฉียบพลันพบในคนส่วนใหญ่ เกิดขึ้นเร็ว แต่เป็นอยู่ไม่นาน มักไม่เกิน 7 - 8 วัน เกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น การติดเชื้อ เกิดจากพิษ เกิดจากยาอื่น ถ้าเป็นท้องเสียอย่างเฉียบพลันที่เกิดจากการติดเชื้อในผู้ใหญ่ มักมีสาเหตุมาจากแบคทีเรีย แต่ถ้าเป็นในเด็กมักจะเกิดจากเชื้อไวรัสอาหารก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมัน หรือรสจัด อาหารที่มีกากหรือเมล็ดมาก ๆ ก็ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้เช่นกัน
2. อาการท้องเสียชนิดเรื้อรังเกิดจากหลายสาเหตุ และยากต่อการวินิจฉัย ถ้าเป็นบ่อย ๆ และเป็นเวลานานควรไปพบแพทย์ เพื่อให้ทราบสาเหตุที่แท้จริงและรักษาต่อไป ท้องเสียอาจมีสาเหตุมาจากทางอารมณ์ ซึ่งมักมีอาการปวดท้องถ่ายบ่อย ๆ แต่ถ่ายครั้งละไม่มาก อุจจาระอาจจะเหลวเป็นน้ำแล้วตามมาด้วยลักษณะปกติ มักเกิดหลังรับประทานอาหารไม่นาน ประมาณ 5 - 15 นาที และบางครั้งก็อาจเปลี่ยนเป็นอาการท้องผูกได้
      วิธีป้องกันตนเองไม่ให้ท้องเสีย
ควรหลีกเลี่ยงสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย เช่น อาหารที่ไม่สะอาด อาหารที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน อาหารรสจัด ยาบางชนิดที่เคยรับประทานแล้วทำให้ท้องเสีย ตลอดจนพยายามควบคุมอารมณ์ ไม่ให้เกิดความตึงเครียดหรือวิตกกังวลมากเกินไป
        การรักษาโดยไม่ใช้ยา  ท้องเสียเฉียบพลัน บางครั้งก็หายไปเองในระยะเวลาอันสั้น เช่น รับประทานอาหารผิดสำแดง วิตกกังวล หรือติดเชื้อในลำไส้ที่ไม่รุนแรง อาการท้องเสียเหล่านี้มักจะหายไปเองในระยะเวลาอันสั้น บางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากขณะที่มีอาการท้องเสีย ลำไส้จะดูดซึมน้ำและอาหารน้อยลง และลำไส้มีการเคลื่อนไหวเร็ว จึงเกิดการคั่งของน้ำในลำไส้ ทำให้ปริมาณน้ำในลำไส้มาก จึงถ่ายเหลวบ่อยและมีจำนวนมากขึ้น ดังนั้น การลดปริมาณน้ำในลำไส้ให้น้อยลงมากเท่าใด คือวิธีการรักษาที่ดีเท่านั้น การงดอาหารในขณะท้องเสียก็เป็นวิธีการรักษาวิธีหนึ่ง ซึ่งไม่มีผลเสียใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าร่างกายแข็งแรงดี เพราะจะช่วยให้ลำไส้ได้พักผ่อน และช่วยให้การทำงานเป็นปกติดียิ่งขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากรับประทานอาหารเข้าไปมาก อาหารเหล่านั้นก็ถูกดูดซึมเข้าร่างกายได้น้อยหรือไม่ดูดซึมเลย ทำให้ ยิ่งรับประทานมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายมากยิ่งขึ้นเท่านั้น และจะไม่ได้ประโยชน์จากอาหารที่รับประทานเข้าไปเลย สิ่งสำคัญในการรักษาอาการท้องเสียก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ที่จะไม่ให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่ เพราะว่าถ้าเสียน้ำและเกลือแร่มาก ๆ จะทำให้ร่างกายมีอาการขาดน้ำ เช่น ตาโบ๋ หนังเหี่ยว ขาดความยืดหยุ่น ไม่เต่งตึง ปากแห้ง ชีพจรเต้นเร็ว ปัสสาวะน้อย ลุกนั่งจะรู้สึกหน้ามืด ถ้าเป็นเด็กเล็กกระหม่อมจะบุ๋มและนอนซึม หรือหายใจหอบ เพราะเสียเกลือแร่ ขาดน้ำ ถ้าเป็นมากก็อาจไม่มีปัสสาวะเลย ชีพจรเบา ความดันต่ำ ตัวเย็น กระสับกระส่าย ช็อค
จะเห็นได้ว่า อันตรายไม่ได้เกิดจากการขาดสารอาหาร แต่เกิดจากการขาดน้ำและเกลือแร่ ดังนั้น ถ้าให้น้ำเกลือทดแทนได้ท้นก็จะรอดพ้นจากอันตรายได้
           น้ำเกลือก็คือ "ยา" รักษาอาการท้องเสียนั่นเอง การให้น้ำเกลือด้วยตนเองทำได้โดยวิธีการรับประทาน ซึ่งจะได้ผลในการรักษาใกล้เคียงกับการให้ทางหลอดเลือด และไม่มีอันตรายจากภาวะที่มีการให้น้ำมากเกินไป การดื่มน้ำเกลือในระยะแรก ๆ ที่มีอาการท้องเสีย จะทำให้อาการทุเลาและหายไปได้เองโดยไม่ต้องใช้ยารักษา เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์  ไม่ควรใช้ยาแก้ท้องเสียรักษาตัวเอง แต่ควรไปพบแพทย์ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้
- อุจจาระมีมูกปน มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ คล้ายกุ้งเน่า
- คลื่นไส้ - อาเจียนรุนแรง
- มีไข้สูงเกินกว่า 38.5 องศาเซลเซียส
- ท้องเสียนานกว่า 48 ชั่วโมง
- มีไข้ อ่อนเพลียมาก และมีโรคเรื้อรังประจำตัว
- ท้องเสียเรื้อรัง รวมกับเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผอมลง อ่อนเพลีย
- ท้องเสียซึ่งอาจมีสาเหตุจากยาอื่น ๆ ที่ใช้อยู่เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ผู้สั่งใช้ยานั้น ๆ จะได้แก้ไขและเปลี่ยนยา
- ท้องเสียในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี หรือผู้สูงอายุ เพราะอาจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ง่าย
- ท้องเสียที่เกิดในสตรีมีครรภ์ เพราะอาจเกิดความผิดปกติทั้งมารดาและทารกในครรภ์ได้

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปากเหม็น ต้นต่อมาจากคอมีก้อนสีเหลืองอ่อนเล็ก

                วันนี้ฉันได้มีประสบการณ์ที่แปลกออกมาจากคอของฉันมันเป็นก้อนสีเหลืองอ่อนมีขนาดเล็ก และมีกลิ่นเหม็นเน่ามาก เหมือนกับเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในลำคอ  ทำให้เกิดกลิ่นปากเหม็น ลมหายใจที่หายใจเข้าออกมีกลิ่นเหม็นมาก  จนบ้างครั้งทำให้เราขาดความมั่นใจในตัวเองไปเลยที่เดียว  ทั้งที่เราก็แปรงฟัน เช้า-เย็น ใช้น้ำยาบ้วนปากยี่ห้อดังก็แล้ว  แต่ปรากฏว่ายังมีกลิ่นเหม็นเหมือนเดิม  เวลาเรากลืนน้ำลายลงไปในคอเหมือนมีน้ำลายข้นเหนียวและมีก้อนอะไรไม่รู้ติดอยู่ในน้ำลายที่เหนียวข้น พยายามเท่าไรก็ไม่ออก กลั่วปากก็แล้วแต่ก็ไม่หลุดออกจากคอ เลยเป็นกังวนเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมารู้จักกันเลย

            ต่อมทอนซิลจะมีร่องหรือซอกหลืบ ซึ่งเศษอาหารอาจเข้าไปติดอยู่ได้ นอกจากนั้น เซลล์ที่บุร่องหรือซอกนั้น อาจตายแล้วหลุดลอกออกมา แล้วมีแบคทีเรีย เม็ดเลือดขาว และเอนไซม์ในน้ำลายเข้าไปย่อยสลาย จนเกิดเป็นสารลักษณะคล้ายก้อนแป้งอยู่ในร่องของต่อมทอนซิล เมื่อสะสมไว้ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งขึ้น ทางการแพทย์เรียกเจ้าก้อนนี้ว่า นิ่วทอนซิล (Tonsilloliths หรือ Tonsil Stones)
          ปัญหาดังกล่าวพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ผู้ที่มีเจ้าก้อนเล็กๆ นี้ติดอยู่ในร่องของต่อมทอนซิล อาจรู้สึกรำคาญ เหมือนมีอะไรติดอยู่ในคอ และอาจทำให้มีกลิ่นปาก ในบางรายอาจทำให้มีอาการเจ็บคอเป็นๆ หายๆ หรืออาจทำให้กลืนลำบากหากมีขนาดใหญ่มากๆ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของนิ่วทอนซิลด้วย นอกจากนี้อาจทำให้ต่อมทอนซิลโต ต่อมทอนซิลอักเสบ หรือมีอาการปวดร้าวไปที่หูได้
                วิธีการแก้ปัญหาขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่วทอนซิลและอาการต่างๆ ที่เป็นผลมาจากนิ่วทอนซิล  วิธีการแก้ปัญหานิ่วทอนซิลไว้ว่ามี 2 วิธีด้วยกัน คือ วิธีไม่ผ่าตัดและวิธีผ่าตัด
วิธีไม่ผ่าตัด
       -  กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ การกลั้วคอแรงๆ อาจช่วยให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมา นอกจากนี้ น้ำเกลือยังช่วยบรรเทาอาการระคายคอจากทอนซิลอักเสบ ซึ่งอาจเกิดร่วมกับนิ่วทอนซิลอีกด้วย
       -  ใช้ไม้พันสำลี แปรงสีฟัน หรือไม้แคะหูที่สะอาด และไม่มีคม ค่อยๆ เขี่ยหรือกดบริเวณต่อมทอนซิล วิธีนี้ควรทำอย่างเบามือและระมัดระวัง มิฉะนั้นอาจเกิดการบาดเจ็บได้ 
       -  ตัดเล็บและล้างมือให้สะอาด แล้วใช้นิ้วมือค่อยๆ ดันบริเวณส่วนล่างของต่อมทอนซิลขึ้น เพื่อให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมา  
       -  ใช้ที่พ่นน้ำทำความสะอาดช่องปาก (water pick) ฉีดบริเวณต่อมทอนซิล เพื่อให้นิ่วทอนซิลหลุดออก
       -  ใช้นิ้วมือนวดใต้คางบริเวณมุมขากรรไกรล่าง ซึ่งตรงกับตำแหน่งของต่อมทอนซิล เพื่อให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมา
       อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวอาจไม่ได้ช่วยให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมาเสมอไป ขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่วทอนซิลและตำแหน่งของซอกหลืบนั้นด้วย แต่ปกติแล้วเมื่อก้อนในร่องของต่อมทอนซิลมีขนาดใหญ่กว่าที่ร่องจะรับได้ ก็อาจหลุดออกมาเอง หรือบางครั้งเมื่อไอหรือขากเสมหะแรงๆ เจ้าก้อนนี้ก็อาจหลุดออกมาได้เองเช่นกัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นบ่อยๆ รำคาญมากๆ หรือมีปัญหาแทรกซ้อนอื่นๆ แพทย์อาจแนะนำวิธีผ่าตัด
       วิธีผ่าตัด
       วิธีแรก คือ การใช้กรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic Acid) หรือการใช้เลเซอร์ (Laser Tonsillotomy) จี้ต่อมทอนซิลเพื่อเปิดขอบร่องของต่อมทอนซิลให้กว้าง ไม่ให้มีซอกหลืบที่จะเป็นที่สะสมของสิ่งต่างๆ ได้อีก
       อีกวิธีหนึ่ง ก็คือ การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออก ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอและกลืนลำบากอย่างน้อย 2-3 วันหลังการผ่าตัด วิธีนี้เป็นการรักษาที่หายขาด แต่มักจะทำในกรณีที่ใช้วิธีแรกแล้วไม่ได้ผล
      

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เดินเข้าสวนผัก จนผิวหนังอักเสบ

            เมื่อวานตอนเย็นฉันกำลังจะเตรียมทำอาหารเย็นเพื่อรับประทานกันทั้งครอบครัว เดินเข้าไปในสวนผัก(ที่บ้านปลูกผักกินเอง) เพื่อไปเก็บใบมะกูดมาใส่ในผัดเผ็ดไก่บ้าน พอเดินมาถึงห้องครัวสักประมาณ 10 นาที แขนขวาก็เกิดผื่นเม็ดเล็กขึ้นมา มีอาการคัน เลยสงสัยว่าจะต้องแพ้อะไรสักอย่างที่อยู่ในสวนผัก เลยรีบล้างแขนด้วยสบู่ที่มีความละเอียดอ่อนต่อผิว แต่ยังไม่หายก็เลยต้องหายาแก้แพ้มาทา  ยาช่วยได้ผื่นที่เป็นเม็ดยุบลง
              
            ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส (Contact Dermatitis)
เป็นโรคผิวหนังซึ่งเกิดจากการสัมผัสกับสารภายนอกร่างกาย มีอาการคัน ผิวหนังมีผื่น บวม แดง และอาจมีน้ำเหลืองไหล ในบริเวณที่สัมผัสสารต้นเหตุ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการระคายเคืองจากสารเคมี น้ำยาซัก-ล้าง โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในเปียกชื้นการทำงานบ้าน อย่างไรก็ตามสารบางชนิดก็ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ โดยสารก่อภูมิแพ้จะไปกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกาย ให้หลั่งสารบางชนิดออกมาทำให้เกิดอาการผื่นคัน สารที่พบว่าเกิดอาการแพ้บ่อย ๆ คือ Nickel (ในโลหะของปลอม เครื่องประดับ, น้ำหอม, และสารกันเสียในเครื่องสำอาง, น้ำยาย้อมผม, ปูนซิเมนต์, และผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ

            อาการ
อาการของผู้ที่มีผื่นระคายเคืองจะมีผื่นแดง แห้ง แตก มักเป็นในตำแหน่ง ฝ่ามือที่สัมผัสกับสารเคมี หรือถูกน้ำบ่อย ๆ ในขณะที่ผื่นแพ้สัมผัสจะเกิดได้ในหลายบริเวณ แล้วแต่ว่าจะสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ทีบริเวณใดของร่างกาย เช่น เป็นผื่นที่ศีรษะจากแพ้น้ำยาย้อมผม ผื่นที่ติ่งหูและข้อมือจากแพ้ต่างหู และสายนาฬิกา ผื่นที่รักแร้จากการแพ้น้ำหอมในน้ำยาดังกลิ่นตัว เป็นต้น
ในกรณีที่สงสัยว่าผิวหนังอักเสบเกิดจากการแพ้สัมผัสหรือไม่ ควรเข้ารับการทดสอบผื่นแพ้สัมผัส (Patch test) โดยแพทย์ผิวหนังจะปิดสารทดสอบไว้ที่ผิวบริเวณหลังหรือต้นแขนของผู้ป่วย เพื่อให้สารทดสอบติดอยู่ที่ผิวเป็นเวลา 48 ชั่วโมง จึงแกะออกและอ่านผลการทดสอบ เมื่อครบ 48 และ 96 ชั่วโมงแล้ว หากผู้ป่วยมีอาการหลังจากนั้น แพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงสารที่แพ้ รวมทั้งหลีกเลี่ยงสารก่ออาการระคายเคืองอื่น ๆ และให้ยาที่เหมาะสมในการรักษาต่อไป

              การป้องกันโรคผื่นผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส
  1. หลีกเลี่ยงสารที่ทำการทดสอบแล้วพบว่าแพ้
  2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารระคายเคือง เช่น ผงซักฟอก, น้ำยาซักล้างชนิดต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ผิวแตก, แห้ง และคันมากขึ้น
  3. ใส่ถุงมือที่เหมาะสมกับการทำงาน เช่น ถุงมือผ้า , ถุงมือหนัง, ถุงมือยาง, ถุงมือ PVC เป็นต้น
  4. ใส่สบู่ล้างมือน้อยลง หากจำเป็นให้ใช้สบู่เหลวไร้ด่าง และทาครีมบำรุงทุกครั้งหลังล้างมือ

               การรักษาโรคผื่นผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส จุดประสงค์คือเพื่อลดความดันลูกตาลง ซึ่งทำได้โดยวิธี
  1. ในระยะที่มีผื่นอักเสบเป็นน้ำเหลือง หรือเป็นตุ่มหนอง ให้ใช้ผ้ากอซ 3-4 แผ่น ชุบน้ำเกลือ (ที่ใช้สำหรับล้างแผล) ปะคบผื่นไว้ประมาณ 10-20 นาที วันละ 2 ครั้ง จนกว่าน้ำเหลืองหรือหนองแห้ง
  2. ทายาคอร์ติโคสเตอรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบของผิวหนัง
  3. รับประทานยาแก้แพ้ เพื่อลดอาการคัน         

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รู้ไว้ใช่ว่า เรื่องเล่าจากสาวขายบริการ

เรื่องจริงของสาวอาบอบนวด....ต้องอ่าน

            ฉันทำงานอาบ อบ นวดแห่งหนึ่งในกรุงเทพนี่ค่ะ ปัจจุบันอายุ 30 เศษแล้ว
เมื่อ 10 กว่าปีก่อนค่าตัวจริงๆ ได้ต่อหัวๆ ละ 300 กว่าบาท ถึง 500 บาท เชื่อมั้ยคะ ต้องอาบน้ำให้แขก โดนทั้งเลียของผู้ชาย โดนประตูหน้า ประตู หลัง เพื่อแลกกับเงินแค่นี้จริงๆ ค่ะ ด้วยการคัดเลือกดิฉัน ได้เบอร์ตอง ซึ่งต้องรับงานมากกว่ารายอื่นๆ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาขณะนั้นสวยไม่แพ้ ใครค่ะ เวลาเดินถนนมีชายหนุ่ม ชายแก่ หญิงสาว มองเหลียวหลัง ไม่ได้แต่งตัวหวือหวานะคะ แต่งกายเรียบ ๆ แต่หน้าอกค่อนข้างชันและใหญ่ ใครจะคิดล่ะคะว่า ทำให้ผู้ชายทั้งคนได้เงินเพียงแค่นั้นต่อหัววันหนึ่งรับงานไม่ต่ำกว่า 5 คนขึ้นไป เริ่มงานบ่ายโมง เลิกงานประมาณ 5 ทุ่มหนึ่งเดือนหยุดประมาณ 4-5 วัน แล้วแต่เลขท้ายเราลงตรงกับวันไหนผู้ที่ใช้บริการ ไม่เลือกวัยค่ะมีทั้งสุภาพหยาบคาย และนักบุญเคยถูกคนเมาลวนลามไม่ใส่ถุงยาง ตัวใหญ่ บังคับทุกอย่างไม่ฟังใคร

          แขกพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแขกของเจ้าของอาบอบ นวด ทำให้เราไม่กล้าฟ้องต้องก้มหน้าทำด้วยความขมขื่น    ไม่ต้องบอกนะคะ ว่าทำไมไม่เลือกเดินทางอื่นมันไม่พอกินค่ะ แล้วดิฉันก็เคยโดนข่มขืนหมู่มาแล้ว ไม่มีใครตามคดีช่วยดิฉันได้เลยคิดประชดตัวเองด้วยการทำงานนี้ซะเลย แต่ก็ไม่ได้สบายดังที่คิดนัก ต่อมามีการตรวจโรคซึ่งมีเป็นประจำอยู่แล้ว ดิฉันติดเอดส์ อยู่ในขั้นแรก ๆ จึงต้องหยุดงานและรักษาตัวเรื่อยมางดเหล้า งดบุหรี่ ร่างกายเริ่มอ่อนแอลงทุกวันไปหาหมอ ได้รับคำแนะนำให้เข้าโครงการฟรี แต่ต้องดูแลตัวเองทุก เดือนต้องไปพบหมอได้รับยาฟรี ในระยะปีกว่าที่รับยาผิวพรรณเริ่มแห้งมีสะเก็ดและดำคล้ำ จึงเปลี่ยนยาและผิวพรรณก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติ มีข้อเสียคือ แขน ขา ก้นจะเล็กลีบต้องทานยาวิตามินช่วยซึ่งเราต้องออกเงินซื้อเองเดือนละ 1000 กว่าบาทเงินสะสมก็ร่อยหรอลง ไปจึงคิดเรียนและหางานทำ

             แต่ก็ยังมีแขกบางคนไม่รู้ แวะเวียนมาใช้บริการที่ห้องบ่อยๆ  มีรายได้จากการขายตัวเดือนละ 2-3 หมื่นบาท ก็อยู่ได้แต่แขกพิเศษที่แวะเวียนมาจะทำตัวสนิทสนมมากจนเกินไปไม่ยอมสวมถุงยาง ดิฉันก็ไม่กล้าบอกว่าเป็นอะไรในเมื่อห้ามไม่ฟังก็ต้องยอมให้แต่โดยดี แต่ดิฉันมีความไม่สบายใจมากๆ เวลาผ่านไป 3-4 เดือนต้องคอยหนีย้ายหอพัก เพราะหากเขารู้ว่าเป็นโรคอาจจะคิดว่าติดกับดิฉันก็ได้หรือพฤติกรรมเขาอาจจะติดกับที่อื่นๆ ก็ได้เพราะบางคนในระยะที่ทำงานนวด อยู่นั้น เขาเป็นโรคแล้วก็เปลี่ยนที่มำงานไปเรื่อยๆ หากแขกต้องการไม่สวมถุงยาง เขาจะตามใจทันทีเขาสมน้ำหน้าที่ไม่ระวังเองทุกคนที่เที่ยวต้องระวังนะคะเรื่องจริงทีเดียว ส่วนดิฉันก็เดือดร้อนต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ แขกที่สวมถุง ดิฉันก็ให้ที่อยู่ใหม่ และให้หาแขกหรือเพื่อนมาเพิ่มทำให้รายได้อยู่ในระดับเดิม

             แต่ในระยะหลังๆคุณภาพชีวิตของดิฉันดีขึ้นสุขภาพดีจนเกือบปกติ รับแขกได้มากและแขกก็สวมถุงยางทุกคนทุกครั้งยกเว้น แขกใหม่ ที่เพื่อนแขกแนะนำมาซึ่งใช้บริการดิฉันมาเกือบครึ่งปีแล้ว นัดดิฉันไปเที่ยวตากอากาศชายทะเลที่ระยองบอกว่าจะ มีเพื่อนอีก 3 คนไปด้วย ให้ราคา ดีดิฉันจึงไปกับเขา เขาจะให้ดิฉัน ดื่มเหล้าดิฉันก็ไม่ดื่ม เพราะไม่ถูกกับโรคเวลาทานยา ต้องเข้าห้องน้ำแอบทาน เขาเมามายและหื่นมากๆ ร่วมกับดิฉันนัวเนีย ไปหมดพร้อมกัน โดยชาย 4 คนทำเหมือนหนังเอ็กซ์ฝรั่งที่สำคัญบังคับดิฉันโดยไม่สวมถุง ดิฉันจะบอกว่าเป็นอะไรกลัว เขาไม่เชื่อและหากเชื่อก็ต้องทำร้ายดิฉัน เขานอนพร้อม ๆ กับดิฉันตลอด 3 วัน ทำให้เขาทุกอย่าง จนระบมไปหมด ได้ค่าเหนื่อยมาสองหมื่นบาทดิฉันน่ะคุ้มมาก แต่พวกเขาจะคุ้มหรือไม่ฉันรู้ดี และคิดว่าทุกคนต้องติดโรคจากดิฉันแน่นอนอย่างน้อยที่ดิฉันจำได้แต่ละคนร่วมเพศกับดิฉันไม่ต่ำกว่าคนละ 6 ครั้ง จะไม่มีครั้งใดไม่ติดโรคเชียวหรือ

              ตอนนี้ต้องย้ายที่อยู่อีกแล้ว จึงอยากขอเตือนนักเที่ยวท้งหลายเมื่อเที่ยวผู้หญิง ๆ ห้ามอะไรต้องเชื่อเพราะว่าเขารู้ตัวเองดี  จงตระหนักว่า ผู้หญิงทุก ๆคน ที่คุณไปใช้บริการนั่นกาหัวไว้ก่อนเลยว่า เขาเป็นเอดส์ ไม่ใช่เพราะเขาไม่ป้องกันตัว เป็นเพราะผู้ชายบังคับเขา ดังนั้นจึงเป็นส่วนหนึ่งที่เขาได้แก้แค้นผู้ชายโดยไม่ตั้งใจติดโรคไปสู่ เมียที่บ้านมีลูกพลอยติดโรคไปด้วย ชีวิตที่เคยเป็นจะเป็นนรก เช่นดิฉันได้รับ....



ที่มา:FW Mail

คาเฟอีน ใครก็ติดได้

                  มีเรื่องจะเล่าให้ผู้อ่านฟังในเรื่องแฟนดิฉันที่ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ  ดื่มประมาณวันล่ะ 2 - 3 แก้วต่อวัน มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเมื่อแม่แฟนดิฉันป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน  กระดูกสันหลัง ประมาณ 5 ข้อ มีจุดสีดำตรงกระดูก(ดูได้จากการเอ็กซเรย์) คุณหมอบอกกับคุณแม่ว่าให้เลิกดื่ม กาแฟ ชา น้ำอัดลม  เครื่องดื่มที่ทำลายกระดูก แฟนดิฉันเกิดความกลัวในเรื่องกระดูกพรุนมาก พยายามเลิกกาแฟที่เป็นเครื่องดื่มที่ชอบมากในชีวิต(เจอที่ไหนเป็นอันต้องแวะซื้อตลอด เจ้ากาแฟที่รักของฉัน) การพยายามหากจากกาแฟในสัปดาห์แรก  ของการเลิกกาแฟ โดยในแต่ล่ะวันจะดื่มกาแฟ  1 แก้ว ในช่วงเวลาเช้า ประมาณ 1 สัปดาห์แต่ผลปรากฏว่า คือ จะมีอาการปวดหัวมากในช่วงเวลาบ่าย ทำให้ต้องดื่มกาแฟแก้วที่ 2 ในตอนบ่าย ทำให้สัปดาห์แรกไม่ประสบผลสำเร็จ  สัปดาห์ที่สองเริ่มทำการทดลองใหม่อีกครั้ง โดยสัปดาห์นี้จะดื่มกาแฟในตอนเวลาประมาณ 11.00 น.  ผลปรากฏว่า ในช่วงบ่ายยังมีอาการปวดหัวเล็กน้อย    ไม่ต้องดื่มกาแฟในช่วงบ่าย ใช้ความอดทนในความต้องการดื่มมากๆ เกิดอาการยากดื่ม แต่ต้องอดทน  ต่อมาสัปดาห์ที่ 3 เริ่มทำการหยุดดื่มกาแฟเลย ช่วงเช้าและบ่ายเกิดอาการปวดหัวนิดน้อย ง่วงนอนมาก อ่อนเพลียมาก ไม่มีแรงในการทำงาน ผ่านไปได้ 2 วัน อาการยังคงดื่ม พอวันที่ 3 เริ่มปวดร่างกายรวมถึงการปวดฟันรวมด้วย  วันที่ 4 อาการปวดหัวหายไป แต่ร่างกายยังอ่อนเพลีย  และวันที่ 5 อาการเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ร่างกายเริ่มปรับสภาพการทำงานได้เหมือนเดิม และผลปรากฏว่าการหักดิบ ในการดื่มกาแฟที่ร่างกายเรามี ภาวะติดคาเฟอีนมาหลายปีก็หลายได้ด้วยหัวใจที่แข็งแรงพร้อมกับกำลังใจคนข้างที่มีให้สม่ำเสมอ

ข้อควรระวังในการเลิกกาแฟที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน
1. การขับถ่ายจะไม่เป็นปกติ ควรจะต้องทานอาหารที่มีกากไยมากเป็นพิเศษ หรือจะเลือกทานโยเกิร์ตผสมน้ำมะนาว 3 หยุด  น้ำผึ้งตามต้องการจะช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายได้ดี
2. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
3. เมื่อมีอาการปวดหัวมาก ควรทานยาพาราเซนตามอนเพื่อลดอาการปวด
4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 30 นาทีต่อครั้ง
5. อาการไม่ทุเลาควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจดูสามารถของอาการอื่นร่วมด้วย


คาเฟอีน คืออะไร
                คาเฟอีนเป็นสารเคมีในกลุ่มแซนธีนส์ (Xanthines) ซึ่งนอกจากคาเฟอีน แล้วยังมีสารอีกสองตัว คือ  ธีโอฟิลลีน (Theophylline) ซึ่งเป็นยาที่นิยมใช้กันมาก ในโรคหอบหืด และใช้กระตุ้นการหายใจในทารก แรกเกิดที่หยุดหายใจและ ธีโอโบรมีน (Theobromine) ซึ่งไม่ใช้ในทางการแพทย์แล้ว ลักษณะเด่นของสารกลุ่มนี้ คือ มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของสมอง  ขยายหลอดลม และยังสามารถขับปัสสาวะได้อีกด้วย
                คาเฟอีน มีลักษณะเป็นผงสีขาว มีรสขม มีน้ำหนักโมเลกุลค่อนข้างน้อย ละลายน้ำได้ดี ในตัวทำละลายอินทรีย์ ละลายได้พอสมควรในน้ำ  โดยเฉพาะน้ำร้อน จะสามารถละลายได้ถึง20-30 มิลลิกรัม ต่อมิลลิลิตรน้ำ  กาแฟประกอบด้วย คาเฟอีนประมาณร้อยละ 1.5-2.5  นอกจากนั้นเป็นไขมัน และสารอินทรีย์  กาแฟ 1 ถ้วย มีคาเฟอีนประมาณ 0.10-0.15 กรัม  มีไนอาซีน 1 มิลลิกรัม และมีไทอามีน และไลโบเฟวิน เล็กน้อย
                คาเฟอีนถูกดูดซึม ได้ดีจากทุกส่วนของทางเดินอาหาร โดยเฉพาะลำไส้เล็กเป็นส่วนที่มีการดูดซึมมากที่สุดเพราะมีพื้นที่การดูดซึมมาก คาเฟอีนถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดภายในร่างกายเราไม่เกิน 1 ชั่งโมง แต่ถ้าได้รับคาเฟอีนเข้าไปขณะท้องว่างหรือกำลังหิว จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดภายใน 30 นาที  เพราะเหตุนี้จึงทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ขึ้นมาทันทีหลังจากได้รับคาเฟอีนเข้าไป คาเฟอีนจะกระจายไปยังสมอง หัวใจ ตับ และไตอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังกระจายไปทุกส่วนของร่างกาย  คาเฟอีนถูเผาผลาญที่ตับและถูกขับออกทางปัสสาวะ
                คาเฟอีน มีฤทธิ์ ในร่างกายประมาณ 3-6 ชั่วโมง และปกติจะไม่มีการสะสมในร่างกาย  ยกเว้น ผู้ที่มีการทำงานของตับลดลง ความสามารถในการกำจักคาเฟอีนจะลดลงด้วย เมื่อได้รับยาหรือสารการกำจัดคาเฟอีน  เช่นยาคุมกำเนิดที่มี  Estradiol  แอลกอฮอล์ อาจทำให้ คาเฟอีนสะสมในร่างกาย จนเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ ได้หากบริโภคมากเกินไป เช่น   มือสั่น  มึนงง ปวดศีรษะ เป็นต้น
                              
                ผลต่อสมอง
คาเฟอีนจะเป็นสารที่กระตุ้นสมอง ทำให้ผู้บริโภค มีความตื่นตัว ความคิดฉับไว ไม่ง่วงนอน กระปรี้กระเปร่า รู้สึกมีพลัง ทำงานได้นาน  ขนาดของคาเฟอีน ที่เริ่มมีฤทธิ์ ในการกระตุ้นสมอง คือ 40  มิลลิกรัม ขึ้นไป ปัจจุบันในวงการธุรกิจมักจะเรียกเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน ว่าเครื่องดื่มชูกำลัง แสดงให้เห็นภาพของการ เสริมสร้างพละกำลัง ดื่มแล้วไม่ง่วง มีเรี่ยวแรง สามารถทำงานได้มากๆ แม้ว่าจะรู้สึกอ่อนเพลียเหนื่อยล้าและง่วงนอนเพียงใด
คาเฟอีนในขนาดสูงจะทำให้นอนไม่หลับ ลดระยะเวลาหลับและหลับไม่สนิท มือสั่น เกิดอาการวิตกกังวล คาเฟอีนในขนาดที่เป็นพิษอาจทำให้ชักได้ คาเฟอีนเสริมฤทธิ์ยาระงับปวด เช่น แอสไพริน พาราเซตามอลและยังเสริมฤทธิ์ยาระงับอาการปวดศีรษะชนิด ไมเกรนได้แต่ไม่มีฤทธิ์เพิ่มความจำและอาจทำให้การตอบสนองของร่างกายช้าลงได้
                ผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต
คาเฟอีนกระตุ้นการหลั่งอะดรีนาลีน และโดปามีน
ฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอะดรีนาลีน  ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ใจสั่น ความดันโลหิตสูง ตับเร่งผลิตน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดเร็วขึ้น กล้ามเนื้อตื่นตัวพร้อมทำงาน ทำให้เป็นเหมือนยาชูกำลัง คาเฟอีนทำให้หัวใจเต้นช้าลงเล็กน้อยในชั่วโมงแรก และเต้นเร็วขึ้นในชั่วโมงที่ 2 และ 3  ความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10 มิลลิเมตรปรอทและเพิ่มขึ้นนานประมาณ 2-3 ชั่วโมงแต่จะมีการทนต่อผลของคาเฟอีนที่เกิดกับระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ในผู้ที่รับคาเฟอีนเป็นประจำส่วนฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งโดปามีนทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจสุขลึกๆ เชื่อว่าเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ติดคาเฟอีน
                ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าคาเฟอีนเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดโลหิตลี้ยงหัวใจอุดตันและโรคของระบบไหลเวียนโลหิตอื่นๆรวมทั้งไม่ได้ทำให้อัตราการเสียชีวิตจากโรคระบบไหลเวียนโลหิตเพิ่มมากกว่าผู้ที่ไม่ได้บริโภคคาเฟอีนอย่างไรก็ตามการบริโภคคาเฟอีนในขนาดสูงเกินไปอาจไม่ดีต่อระบบไหลเวียนโลหิตในระยะยาวได้
                ผลต่อการนอนหลับ
ผลของคาเฟอีนต่อการนอนหลับมีความชัดเจนต่อผลต่อพฤติกรรม และอารมณ์มาก กล่าวคือคาเฟอีน จะเพิ่มระยะเวลาที่ใช้ก่อนหลับให้ยาวนานมากขึ้นและลดระยะเวลาในการนอนหลับให้สั้นลง โดยผลเช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้จากการดื่มกาแฟที่ชงแก่ๆ เพียงถ้วยเดียวก่อนนอน 1ชั่วโมงเท่านั้น
ทำไมดื่มกาแฟแล้วไม่ง่วง
คาเฟอีนมีลักษณะทางเคมีที่สำคัญประการหนึ่ง คล้ายกับสารที่ชื่อ อดีโนซีน( adenosine) และเข้าไปจับกับตัวรับ( receptor ) ตัวเดียวกันซึ่งสารadenosine เป็นสารเคมีที่สร้างขึ้นในสมอง มีฤทธิ์ทำให้รู้สึกง่วงนอนดังนั้นเมื่อบริโภคเครื่องดื่มประเภท ชาและกาแฟหรือเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนเข้าไปสมองจะเข้าใจว่าเป็น  adenosine เนื่องจากตัวรับของอดีโนซีนทำปฏิกิริยาจับกับคาเฟอีน กลไกดังกล่าวทำให้สมองขาดสารที่ทำให้รู้สึกง่วงนอน ร่างกายจึงรู้สึกไม่ง่วงและรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามีกำลังวังชายิ่งขึ้น
                Synder และ Lader( ปี2529)ยังได้อ้างถึงการศึกษานักวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นว่าคาเฟอีน ขนาด 150 มก. ทำให้ผู้รับการทดลองใช้เวลาเฉลี่ย 2.1 ชม. จึงจะหลับและหลับเป็นเวลาเฉลี่ยเพียง4.6 ชม. เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับคาเฟอีน ซึ่งใช้เวลาเพียง29 นาที และนอนหลับได้นานถึง 7.4  ชม.เมื่อทำการวัดคลื่นสมองของผู้ที่ได้รับคาเฟอีนก็พบลักษณะที่แตกต่างจากการนอนหลับปกติ นอกจากนี้ยังตื่นง่ายเมื่อมีเสียงดัง นอนกระสับกระส่ายและทำให้คุณภาพในการนอนหลับลดลง
                การดื่มกาแฟทั้งชนิดธรรมดาและชนิดสกัดจากคาเฟอีนออก จะเพิ่มการหลั่งของกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหารสูงกว่าคาเฟอีนถึง 2 เท่า ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟทุกชนิด รวมทั้งเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ
                ผลต่อระบบทางเดินอาหาร
                การดื่มกาแฟทั้งชนิดธรรมดาหรือชนิดที่สกัดจากคาเฟอีนออกจะเพิ่มการหลั่งของกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหารสูงกว่าคาเฟอีนถึง 2 เท่า ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟทุกชนิด รวมทั้งเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ
                ผลต่อระบบกระดูก
                แม้ว่าจะมีรายงานในระยะแรกว่าการดื่มกาแฟทำให้ร่างการสูญเสียแคลเซียม ซึ่งอาจทำให้กระดูกเปราะบางและหักง่าย โดยอ้างอิงฤทธิ์ของคาเฟอีนในการเพิ่มการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม รายงานส่วนใหญ่ที่พบว่าการดื่มกาแฟทำให้มีการสูญเสียแคลเซียม กระดูกเปราะบาง กระดูกหักง่ายนั้น มักจะการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไม่รัดกุมเพียงพอ เช่นการที่ผู้เข้าร่วม โครงการวิจัย ดื่มนมหรือได้รับแคลเซียมน้อย หรือมีการสูบบุรี่ งานวิจัยในระยะหลังที่ควบคุมปัจจัยเสี่ยงอย่างรัดกุมพบว่าการดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่ทำให้มีการเสียสมดุล ของแคลเซียมในร่างกายไม่ทำให้กระดูกเปราะบางและหักง่าย
                ผลต่อระบบสืบพันธุ์
สารเคมีที่มนุษย์ได้บริโภคเป็นจำนวนมาก เช่น แอลกอฮอล์ ในเครื่องดื่มล้วนแต่มีหลักฐานว่าก่อให้เกิดผลต่อระบบสืบพันธุ์โดยเฉพาะ ความผิดปกติของทารกในครรภ์  จากการศึกษาของ Kirkinen ในปี 2526  ถึงผลกระทบของคาเฟอีนต่อระบบไหลเวียนโลหิต  เมื่อให้คาเฟอีนครั้งเดียวในขนาด 200  มก. แก่สตรีมีครรภ์ ในระยะ 2 เดือนสุดท้าย ของการตั้งครรภ์ พบว่า คาเฟอีนไม่เปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตของมารดาและ อัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์
                ในปีเดียวกันนี้ Wilson  และคณะได้ศึกษาในแกะที่ตั้งครรภ์ พบว่าคาเฟอีน ในขนาด 3.5 และ 35 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม  ลดการไหลเวียนโลหิตไปยังมดลูกเป็นเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าผลต่อการไหลเวียนโลหิตไปยังมดลูกไม่น่าเป็นสาเหตุที่คาเฟอีนจะก่อให้เกิดความผิดปกติของทารกได้
                Linn และคณะ (ปี 2525)รายงานว่าการดื่มกาแฟไม่เกินวันละ 4 ถ้วย ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ไม่ทำให้ทารกที่คลอดออกมามีความพิการ   Kurppa และคณะ (2526) ได้ขยายการศึกษานี้ให้กว้างขึ้นทั่งประเทศฟินแลนด์ โดยเปรียบเทียบระหว่างมารดาของทารกที่มีความพิการแต่กำเนิด กับมารดาของทารกปกติ ซึ่งคลอดในเวลาและในเขตเดียวกันพบว่า ปริมาณการดื่มกาแฟในระหว่างตั้งครรภ์น้อยลงทั้งสองกลุ่ม โดย ร้อยละ 26.5 ของมารดาทั้งหมด ยังคงดื่มกาแฟ อย่างน้อยวันละ 4 ถ้วย ร้อยละ 7.2 ดื่มอย่างน้อยวันละ 7 ถ้วย และร้อยละ  3.5 ดื่มวันละ10 ถ้วย หรือมากกว่านั้นแลจากการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว ในเชิงสถิติแล้วยังสรุปได้ว่าการดื่มกาแฟ ไม่เพิ่มอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดความพิการของทารก
                คาเฟอีนทำให้สัตว์ทดลองหลายชนิดโดยเฉพาะหนูขาวคลอดลูกออกมาพิการแต่ผลดัง
กล่าวไม่เกิดขึ้นในคนซึ่งอาจมีสาเหตุจากความแตกต่างกันในด้านสายพันธุ์และความแตกต่างกันของการได้รับคาเฟอีนของคนและสัตว์ทดลอง
                                ขณะนี้หลักฐานที่มีอยู่ชี้ว่า คาเฟอีนไม่มีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ในด้านการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ น้ำหนักตัว และความผิดปกติของทารกแรกคลอด การแท้งบุตร และการตั้งครรภ์ ยากรวมทั้งผลต่อการพัฒนาการของเด็กทั้งทางร่างกายและระบบประสาทยังไม่มีข้อยุติชัดเจนแต่ผลงานวิจัยส่วนใหญ่ชี้ว่าคาเฟอีนไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อการตั้งครรภ์และในรายงานพบว่าคาเฟอีนทำให้เกิดผลเสียต่อการตั้งครรภ์นั้นมักจะมีสาเหตุจากการควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่นๆไม่เพียงพอ แม้ว่าการได้รับคาเฟอีนหรือการดื่มตามลำพังจะไม่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์แต่คาเฟอีนอาจเสริมความเป็นพิษของยาหรือสารบางชนิดต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุดในระหว่างตั้งครรภ์ควรระมัดระวังการดื่มเครื่องดื่มและการบริโภคอาหารที่มีคาเฟอีน
                ผลต่อการเกิดมะเร็ง
แม้ว่าจะมีงานวิจัยทางระบาดวิทยาในระยะแรกชี้ว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด ในงานวิจัยที่ชี้ว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนกับการเกิดมะเร็งนั้นส่วนใหญ่ผลที่เกิดขึ้นไม่สัมพันธ์กับปริมาณการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้จึงทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่าคาเฟอีนเป็นสาเหตุในการเพิ่มอัตราเสี่ยงของการเกิดมะเร็งและงานวิจัยในจำนวนมากในระยะหลังกลับไม่พบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมีผลต่อการเกิดมะเร็งดังนั้นสภาวิจัยแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา ( National Research Council ในปี 2532 )  จึงรายงานว่าไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่าคาเฟอีนมีความสัมพันธ์กบการเกิดมะเร็งไม่ว่าจะเป็นมะเร็งชนิดใดนอกจากนั้นในปี 2534 คณะกรรมการด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์
( Cancer Society s Medical and Scientific Committee, 2534 )
ได้สรุปว่าไม่มีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าคาเฟอีนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งในคน
              

การแพ้คาเฟอีน
คาเฟอีน หรือผงกาแฟ อาจทำให้เกิดการแพ้ได้โดยแสดงอาการคัน ผิวหนังร้อนแดง มีผื่นคัน คล้ายลมพิษ อุบัติการณ์ของการเกิดอาการแพ้ค่อนข้างต่ำ และรักษาโดยใช้ยาแก้แพ้ ผู้ที่มีอาการแพ้เหล่านี้ไม่ควรบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน รวมทั้งไม่ควรทำงานที่ต้องสัมผัสกับคาเฟอีนหรือผงกาแฟ
                                การได้รับคาเฟอีนเกินขนาด
                การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่สูงมากเกินไปจะเกิดพิษได้ ปริมาณคาเฟอีน 200-500 มิลลิกรัม อาจทำให้ปวดศีรษะได้ เกิดภาวะเครียด กระวนกระวาย มือสั่น และประสิทธิภาพการทำงานลดลง  คาเฟอีนปริมาณ 1000 มิลลิกรัม อาจทำให้เกิดพิษฉับพลัน โดยผู้บริโภคจะมีไข้สูง วิตกกังวล   กระสับกระส่าย   พูดตะกุกตะกัก  ควบคุมตัวเองไม่ได้ ซึมเศร้า นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะบ่อย ขนาดของคาเฟอีนที่อาจทำให้เสียชีวิตคือ ประมาณ 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม น้ำหนักตัวในเด็กเล็ก สำหรับเด็กโต ประมาณ 3000 มิลลิกรัม และประมาณ5000-10000 มิลลิกรัม ในผู้ใหญ่  ซึ่งจะทำให้เกิดอาการต่างๆดังที่กล่าวมาข้างต้นร่วมกับการเสียสมดุลของสารเกลือแร่ในร่างกาย การชักแบบต่างๆ (ชักกระตุก ชักเกร็ง) หลังแอ่น ปอดแฟบ         ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดปกติและเสียชีวิตจาก ภาวะการหายใจและระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว 
              การติดคาเฟอีน
การติดคาเฟอีนไม่จัดเป็นยาเสพติดตามเกณฑ์ PSM-IV ของสมาคมจิตแพทย์ศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา และนิยมเรียกพฤติกรรมบริโภคคาเฟอีนว่า บริโภคจนเป็นนิสัยหรือติดมากกว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนติดต่อกันนานๆ ในขนาดสูงกว่าวันละ 350  มิลลิกรัม อาจทำให้เกิดการติดคาเฟอีนได้ ขนาดดังกล่าวเทียบเท่ากับกาแฟ 4-5 ถ้วย กาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม 2-4 กระป๋อง  ชา 10 ถ้วย  เครื่องดื่มชูกำลัง7 ขวด  หรือน้ำอัดลมประเภทโคล่า 8-9 กระป๋อง ถ้าดื่มจนติดเป็นนิสัยและไม่ได้รับคาเฟอีนจะเกิดอาการปวดศีรษะภายใน 6 ชั่วโมง ตามมาด้วยอาการอ่อนเพลีย น้ำมูกไหล เหงื่อออกมาก ปวดกล้ามเนื้อ วิตกกังวล กระวนกระวาย อาการเหล่านี้จะคงอยู่ไม่ต่ำกว่า 72 ชั่งโมง
องค์ประกอบที่ทำให้ติดคาเฟอีน คือ ปริมาณของคาเฟอีนที่ได้รับต่อวัน ระยะเวลาการบริโภค ผลที่พึงประสงค์ที่เกิดจากคาเฟอีน สภาวะแวดล้อมและสังคม รสชาติของผลิตภัณฑ์ที่บริโภค พฤติกรรมในการรับรองแขกทางสังคม  สภาวะทางเศรษฐกิจและแรงจูงใจ พื้นฐานความรู้ของประชาชน
                              
               สรุป  จะเห็นได้ว่าคาเฟอีนมีผลต่อร่างกายเรามากมายซึ่งให้ทั้งประโยชน์และโทษกับร่างกายถ้าหากเราดื่มในปริมาณที่เหมาะสมก็ก่อให้ประโยชน์กับร่างกายได้แต่ในทางตรงกันข้ามหากดื่มในปริมาณที่มากเกินไปก็ก่อให้เกิดโทษมหันต์ได้เช่นกัน ถึงแม้ในงานวิจัยยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในการทดลองที่ผ่านมาเมื่อเราได้ทราบผลกระทบต่อร่างกายแล้วก็สามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายเราได้


วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เจ็บคอ อากาศเปลี่ยนแปลง

                เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาวันที่ 7-11 สิงหาคม 2556 ฉันได้เดินทางไปอบรมโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติธรรม ณ ศูนย์การศึกษาเขาแก้วเสด็จ  อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี  เป็นศูนย์การเรียนรู้สาขาของวัดพระธรรมกาย  และสถานที่ไปอบรมติดผู้เขา บรรยากาศสวยงามมาก  มีทั้งเฆม หมองปกคุมทั่วผู้เขา  ฝนตกทุกวัน เพราะช่วงนี้เป็นฤดูฝนจึงมีฝนตกบ่อยมาก ตอนกลางวันแดดก็ร้อนแรงมากที่สุด พอถึงบ่ายฝนก็ตกหนัก ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง เนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ
                โดยทั่วไป อาการเจ็บคอ (sore throat) อาจเกิดจากอาการของโรคภูมิแพ้ อาการทอนซิลอักเสบ การสัมผัสกับอากาศแห้งจัด รวมทั้งการสูดควันพิษ ซึ่งภายในลำคอจะเป็นสีแดงเรื่อ ทำให้รู้สึกระคายเคือง หรือสากคอ นอกจากนี้ อาการเจ็บคออาจทำให้ลำคออักเสบ โดยเริ่มจากด้านหลังของปาก ไปจนถึงหลอดอาหาร และอาจเป็นอาการแสดงเริ่มแรกของไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ติดต่อจากการสัมผัสเชื้อโรคโดยตรง ทั้งเสมหะ และน้ำลาย ซึ่งอาการเจ็บคอที่พบส่วนใหญ่มีสาเหตุดังนี้
               การติดเชื้อไวรัส คือ สาเหตุหลักที่ทำให้คนเป็นไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการเจ็บคอมากที่สุด โดยปกติถ้าร่างกายสร้างภูมิต้านทานได้ ก็จะหายเป็นหวัดเองภายในหนึ่งสัปดาห์ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการไข้ ปวดกล้ามเนื้อ และน้ำมูกไหล นอกจากนี้ อาการเจ็บคออาจเกิดจากโรคปอดบวม จากเชื้อไวรัส หรือ โมโนนิวคลีโอซิส
              การติดเชื้อแบคทีเรีย พบน้อยกว่าการติดเชื้อไวรัส แต่อาการอาจรุนแรงกว่ามาก ส่วนใหญ่จะแสดงอาการภายใน 2-7 วัน โดยเฉพาะในช่วงอายุ 5-25 ปี จะติดเชื้อกันง่าย ทั้งทางน้ำมูก และเสมหะ นอกจากนี้ ยังติดต่อทางอาหาร นม และน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียสเตร็ปโตค็อกคัส ซึ่งถ้าไม่รักษาให้ทันท่วงที เชื้อโรคอาจลุกลามไปทำลายหัวใจและไตอย่างถาวร
บางคนที่มีอาการเจ็บคอ จนฝากล่องเสียงอักเสบ ช่องคอจะบวมมาก จนปิดทางเดินหายใจควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจติดเชื้อสเตร็ปโทรต และเมื่อมีอาการติดเชื้อซ้ำบ่อยๆ จนเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ติดเชื้อในกระแสเลือด หรือ เป็นไข้รูมาติกได้

              - ต่อมทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis) คือ โรคที่เกิดจากการอักเสบติดเชื้อของต่อมทอนซิล ซึ่งเป็นต่อมคู่ ซ้าย และขวา โดยเป็นต่อมน้ำเหลืองในลำคอ อยู่ด้าน ข้างใกล้กับโคนลิ้น ทำหน้าที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ลำคอ เช่น จากอาหาร น้ำดื่ม และการหายใจ เป็นเนื้อเยื่อไม่สำคัญ ตัดออกได้ เพราะมีต่อมน้ำเหลืองอื่นๆทำหน้าที่เหล่านี้แทนได้ ต่อมทอนซิลอักเสบมักเกิดร่วมกับลำคออักเสบเสมอ ดัง นั้น เมื่อกล่าวถึงต่อมทอนซิลอักเสบ จึงหมายรวมถึงลำคออักเสบด้วย
             -  ต่อมทอนซิลอักเสบเป็นโรคพบได้บ่อยโรคหนึ่ง พบได้ในทุกอายุ แต่พบได้บ่อยกว่าในเด็ก และไม่ค่อยพบในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โอกาสเกิดโรคเท่ากันทั้งในเพศหญิงและเพศชาย
            -   ต่อมทอนซิลอักเสบพบได้ทั้งการอักเสบติดเชื้อเฉียบพลัน ซึ่งเมื่อเกิดมักมีอาการรุนแรงกว่า แต่รักษาหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ และอักเสบเรื้อรัง เป็นๆหายๆ อาการแต่ละครั้งน้อยกว่าชนิดเฉียบพลัน แต่มีอาการอักเสบเฉียบพลันซ้อนได้เป็นระยะๆ ซึ่งนิยามของต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ได้แก่ มีต่อมทอนซิลอักเสบเกิดขึ้นอย่างน้อย 7 ครั้งใน 1 ปีที่ผ่านมา หรือ อย่างน้อย 5 ครั้งทุกปี ติดต่อกันใน2 ปีที่ผ่านมา หรืออย่างน้อย 3 ครั้งทุกปี ติดต่อกันใน 3 ปีที่ผ่านมา

                สาเหตุเกิดจากติดเชื้อไวรัส หรือ แบคทีเรีย คออักเสบจากไวรัส ที่พบบ่อย เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ พวกนี้มักจะมีน้ำมูกใสๆ ต่อมทอนซิลไม่แดงมาก (ไม่มีหนอง) ส่วนต่อมทอนซิลอักเสบมักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีอยู่หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื้อ Streptococcus groug A
ติดต่อทางลมหายใจ ไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ
                อาการ   กรณีเป็นแบบเฉียบพลัน พบว่ามีไข้สูงเกิดขึ้นทันที มีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ครั่นเนื้อครั่นตัว รู้สึกหนาวสะท้าน รู้สึกคอแห้ง เจ็บคอมาก บางทีอาจเจ็บคอมาก จนกลืนน้ำและอาหารลำบาก ในเด็กเล็ก อาจพบอาการอาเจียน ไอ ปวดท้อง ท้องเดิน ร่วมด้วย บางคนอาจมีไข้สูงมากจนชัก หรือ ร้องกวนไม่ยอมนอน บางคนที่บริเวณใต้คาง ข้างใดข้างหนึ่ง (ต่อมน้ำเหลือง) มีอาการบวมและเจ็บ กรณีเป็นแบบเรื้อรัง เจ็บคอบ่อยๆ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไอแห้งๆ หรือ มีเสมหะ เล็กน้อย มักไม่มีไข้หรือ อาจมีไข้ต่ำๆ ในบางครั้ง
               อาการแทรกซ้อนเชื้ออาจลุกลามทำให้เกิดหูชั้นกลางอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองที่คออักเสบ จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบได้ เชื้ออาจแพร่กระจายเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิด ข้ออักเสบเฉียบพลัน กระดูกอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ถ้าติดเชื้อ Streptococcus groupA เกิดโรคแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ ไข้รูมาติก หน่วยไตอักเสบ ซึ่งมักจะเกิด หลังต่อมทอนซิลอักเสบประมาณ 1-4 สัปดาห์
                ....ปรับตัวเพื่อลดเจ็บคอ....
1.ดื่มน้ำมากขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า น้ำจะช่วยให้เสมหะเหนียวน้อยลง และขับออกง่ายขึ้น
2.ปรับสภาพอากาศให้ชื้นขึ้นเล็กน้อย เช่น หาอ่างใส่น้ำมาวางบริเวณที่ร้อน หรือปลูกต้นไม้ในบ้าน เพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศที่แห้ง จะช่วยให้เยื่อเมือกในช่องคอไม่แห้ง (เมื่อช่องคอแห้ง จะทำให้ระคายคอ และนอนไม่หลับ)
3.หลีกเลี่ยงควันและมลพิษต่างๆ งดสูบบุหรี่ รวมทั้งสารระเหยจากน้ำยาทำความสะอาดในบ้าน หรือสีทาบ้าน เพราะจะยิ่งทำให้เจ็บคอมากขึ้น
4.หลีกเลี่ยงอาหารก่อพิษ เช่น ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ อาหารที่มีน้ำตาลสูงจำพวกเค้ก ขนมหวาน เพราะจะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดต่อมทอนซิลอักเสบ และโรคติดเชื้ออื่นๆ อันเป็นสาเหตุของการเจ็บคอ
5.ใช้เสียงให้น้อยลง เมื่ออาการเจ็บคอลุกลาม จนทำให้กล่องเสียงอักเสบ จนทำให้ระคายคอมากเวลาพูด หรือเสียงหายไปชั่วขณะ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และให้ความอบอุ่นกับร่างกายเยอะๆ
              วิตามินธรรมชาติแก้อาการเจ็บคอ 
1.เบต้าแคโรทีน มีมากในแครอท ฟักทอง ตำลึง แค กระเพา ขี้เหล็ก ผักเซียงดา ยอดฟักขาว ผักติ้ว และผักแต้ว เมื่อสารเบต้าแคโรทีนเข้าสู่ร่างกาย จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยทำให้เนื้อเยื่อของเมือกบุในลำคอ และทางเดินหายใจที่ต้องผลิตน้ำย่อยบ่อยๆ มีความแข็งแรง
2.วิตามินดี จากปลาที่มีไขมันมาก เช่น ปลาสวาย ปลาดุก ปลาช่อน ปลาจะละเม็ด ปลาซาบะ ปลาซาดีน ปลาแซลมอน และปลาทะเล เพราะวิตามินดีจากไขมันปลา จะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อในลำคอ
3.วิตามินอี มีมากในผลอะโวคาโด และอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง เพราะมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ที่ถูกเชื้อโรคทำลายให้แข็งแรง
4.วิตามินบี โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนผสมของ เชื้ออะซิโดฟิลัส (acidophilus) เช่น โยเกิร์ต เพราะจะช่วยทดแทนแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งเป็นแหล่งวิตามินบีบางชนิด ที่ถูกยาปฏิชีวนะทำลายไป
                  ยาแก้เจ็บคอจากก้นครัว
1.เกลือ เกลือที่เราใช้ปรุงอาหารเป็นยาแก้เจ็บคอได้เป็นอย่างดี โดยผสมเกลือ 1 ช้อนชา กับน้ำอุ่น 1 แก้ว ใช้อมกลั้วคอ หรือทำเป็นน้ำยาบ้วนปาก วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้
2.น้ำอุ่น ผสมน้ำอุ่น 1 แก้วกับน้ำมะนาว หรือน้ำส้มไซเดอร์แอปเปิ้ล 1 ช้อนชา ใช้กลั้วคอ วันละ 2-3 ครั้ง ส่วนผสมดังกล่าวมีฤทธิ์เป็นกรด ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
ผลไม้รสเปรี้ยวบรรเทาเจ็บคออย่ามองข้ามผลไม้รสเปรี้ยวนะคะ เพราะกรดซีตริก (citric) ในรสเปรี้ยวมีสรรพคุณช่วยลดอาการเจ็บคอได้ดี และวิตามินซีจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย เพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย และช่วยลดระยะเวลาในการเป็นหวัดให้สั้นลง ซึ่งผลไม้รสเปรี้ยวทีเราแนะนำมีดังนี้
3.มะขามป้อม ใช้เนื้อผลแก่สดประมาณ 2-3 ผล โขลกพอแหลก แทรกเกลือเล็กน้อย อมหรือเคี้ยววันละ 3-4 ครั้ง วิตามินซี และรสเปรี้ยวอมฝาดในมะขามป้อม จะช่วยแก้หวัด ทำให้คอชุ่มชื่น แก้อาการคอแห้ง และแก้อาการเจ็บคอ
4.มะนาว ใช้ผลสดคั้นเอาแต่น้ำ แทรกเกลือเล็กน้อย จิบบ่อยๆ หรือ ใช้มะนาวครึ่งลูกบีบใส่น้ำอุ่นครึ่งแก้ว แล้วผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา วิตามินซี และรสเปรี้ยวของมะนาวจะช่วยขับน้ำลาย ลดอาการระคายเคืองที่เยื่อบุผิวภายในลำคอ ส่วนน้ำผึ้งมีสรรพคุณบรรเทาอาการเจ็บคอ
5.มะขาม ใช้เนื้อในฝักแก่ของมะขามเปรี้ยว หรือมะขามเปียก จิ้มเกลือกินพอสมควร หรือจะคั้นเป็นน้ำมะขามแทรกเกลือเล็กน้อย และใช้จิบบ่อยๆ ก็ได้ เนื้อฝักแก่ รสเปรี้ยว ช่วยขับเสมหะ ทำให้คอชุ่มชื่น และแก้อาการเจ็บคอ 
6.น้ำส้ม นำผลส้มประมาณ 3 ผล ล้างให้สะอาด คั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น 1/2 ช้อนชา จิบบ่อยๆเมื่อมีอาการ รสเปรี้ยวของส้มมีสรรพคุณแก้ไอ ขับเสมหะ และทำให้ชุ่มคอ
7.เสาวรส นำเสาวรสสุกประมาณ 2-3 ผล ล้างให้สะอาด ผ่าครึ่ง ใช้ช้อนตักเมล็ดและส่วนที่เป็นน้ำสีส้มออกจากเนื้อผล คั้นกรองด้วยกระชอนหรือผ้าขาวบาง เพื่อแยกเอาเมล็ดและเส้นใยออก เติมน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ ชิมรสตามใจชอบ จิบเมื่อมีอาการ รสเปรี้ยวของเสาวรสมีสรรพคุณช่วยขับเสมหะ และทำให้ชุ่มคอ

    ข้อแนะนำ
1. ในผู้ป่วยที่มีไข้สูงควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
2. ควรสวมเสื้อผ้าที่หนาๆ ในบริเวณที่มีอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
3. ดื่มน้ำเปล่า วันล่ะ 8 แก้ว เพื่อปรับสมดุลร่างกาย

          
              

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ผิดหวัง รู้สึกไร้ค่า นอนไม่หลับ โอกาสเป็นโรคซึมเศร้าได้

                จากเหตุการณ์การเมือง  เศรษฐกิจที่ไม่คล่องตัว  การงาน  การเงิน สังคม  สภาพแวดล้อมต่าง รวนแล้วเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้า  เรารองมาเช็คตัวเราเองดูสิว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า
               1.เบื่ออาหาร ผอมลง
               2.นอนไม่หลับ
               3.กระวนกระวาย หรือซึมๆ เนือยๆ
               4.อ่อนเพลียง่าย
               5.รู้สึกผิด ไร้ค่า
               6.ขาดสมาธิ
               7.คิดอยากตาย
               ท่านมีอารมณ์เศร้า เบื่อทุกๆ อย่าง นานกว่า 2 สัปดาห์ และมีอาการต่อไปนี้อีกอย่างน้อย 4 ข้อ ท่านอาจเป็นโรคซึมเศร้า

                โรคซึมเศร้า

             การคิดมากและกังวลจนทำให้รู้สึกเครียด ความรู้สึกเบื่อและเซ็ง ทำอย่างไรก็ไม่หายไม่ดีขึ้น
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะรู้สึกหดหู่ อารมณ์ท้อแท้ เศร้าหมอง เบื่อหน่าย หรือหงุดหงิดฉุนเฉียว ใจลอยไม่มีสมาธิ หลงๆ ลืมๆ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เงียบซึมไม่อยากพูดคุยหรือพบปะกับใคร

                สาเหตุของการเกิดโรคซึมเศร้า
           โรคซึมเศร้ามีสาเหตุมาจากปัจจัยรวมๆ ทางด้านจิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม และชีวภาพ โรคซึมเศร้ามักเกิดตามหลังความผิด หรือการสูญเสียจากพราก เช่น บุคคลที่รักตายจาก คนรักตีจาก ความกดดันด้านสังคม การเรียน การงานหรือการเงิน สภาพชีวิตที่โดดเดี่ยวว้าเหว่ ขาดความรักความอบอุ่น

            

เพื่อนฉันเป็น โรคหลงผิด

               เราทำงานด้วยกันอยู่ด้วยกันมาประมาณ 2 ปีกว่า และเพื่อนคนนี้เป็นคนดีมากๆ แต่อยู่กันไปดีๆ  ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นกับเพื่อนของฉัน เธอเป็นคนมั่นใจในตัวเอง ฉันสวยที่สุด  คิดว่าทุกคนรักเธอมาก  และอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกที่น่ารัก  ที่สำคัญเธอคิดว่าเธอได้เข้าใกล้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการปฏิบัติโดยการอ่านหนังสือธรรมะเยอะๆ  และเธอก็ยังคิดว่าทุกคนต้องเอาใจเธอตลอดโดยไม่นึกถึงใจคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ชิด  อาการเหล่านี้เป็นเหตุเกิดของโรคหลงผิดอย่างแน่นอน

             โรคหลงผิด
โรคหลงผิด คือโรคจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอาการหลงผิด คิดหวาดระแวง การพูดจาท่าทาง พฤติกรรมเป็นปกติ การแสดงของอารมณ์เกิดขึ้นตามเหตุการณ์  ส่วนใหญ่มักทำงานได้อย่างปกติ ยกเว้นบางกิจกรรมไม่สามารถทำกิจกรรมนั้นได้เลย เช่น การไม่ชอบบุคคลหนึ่งในที่ทำงาน พอมีกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกันก็ไม่สามารถที่จะทำกิจกรรมนั้นรวมได้

            จำแนกโรคหลงผิดได้ดังนี้

1. Erotomanic type หลงผิดว่าบุคคลอื่นมาหลงรักตนเอง หรือเป็นคู่รักของตัวเอง โดยบุคคลนั้นมักเป็นผู้ที่มีความสำคัญ หรือมีชื่อเสียง ผู้ป่วยอาจเก็บอาการหลงผิดนี้ไว้ เป็นความลับหรืออาจแสดงออกต่อสาธารณชน ขึ้นกับบุคลิกภาพเดิมของผู้ป่วย บางรายก็ไปก่อกวนหรือทำให้คนอื่นหลงเชื่อก็มี

2.Grandiose type เชื่อว่าตนเองมีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น มีความหยั่งรู้พิเศษ มีอำนาจ มีเงินทองมากมาย หรือหลงผิดว่าตนเองเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญ เชื้อพระวงศ์ พระอรหันต์

3.Jealous type หลงผิดว่าคู่ครองของตนนอกใจ อาการนี้พบได้บ่อยและบางครั้งอาจแยกได้ยาก ว่าเป็นเรื่องจริงหรืออาการหลงผิด

4. Persecutory type ระแวงว่าตนเองถูกกลั่นแกล้ง สะกดรอย หรือวางยาพิษ หมายเอาชีวิต ซึ่ง เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด

 5.Somatic type หลงผิดเกี่ยวกับร่างกายของตนเอง เช่น หลงผิดว่าบางส่วนของร่างกายผิดรูปร่าง น่าเกลียด ไม่สวยไม่หล่อ มีกลิ่นตัว หรืออวัยวะบางอวัยวะไม่ทำงาน เป็นโรคบางโรค ซึ่งหนึ่งในโรคจิตหลงผิด ประเภท Somatic type ที่ปรากฎเป็นข่าวบ่อยในช่วงนี้ คือ Delusions of parasitosis หรือ โรคจิตหลงผิดว่ามีปรสิตที่ผิวหนัง โดยผู้ป่วยจะรู้สึกไปเองว่ามีแมลงผุดไชออกมาตามผิวหนัง แล้วไปแกะเกาจนเป็นตุ่มเป็นแผล แม้แพทย์จะตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติ แต่ผู้ป่วยก็ยังคงเชื่อเช่นนั้น และไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดปกติทางจิต

6.Mixed Type: มีอาการหลงผิดมากกว่าหนึ่งอาการข้างต้น และไม่มีอาการใดโดดเด่น

           การรักษาโรคหลงผิด

1. การรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย เป็นอันตรายต่อผู้อื่น มีปัญหาในหน้าที่การงานมาก ควรรับไว้รักษาในโรงพยาบาล การบอกผู้ป่วยจะเน้นว่าให้อยู่โรงพยาบาลเพื่อการตรวจวินิจฉัยที่ละเอียด หรือเพื่อรักษาอาการทางร่างกายที่รบกวนผู้ป่วย

  2. การรักษาด้วยยา ให้ยารักษาโรคจิต ควรเริ่มด้วยขนาดต่ำ เช่น haloperidol 2-4 มก./วัน ค่อยๆ เพิ่มขนาด เนื่องจากหากเกิดอาการข้างเคียงผู้ป่วยจะไม่ยอมกินยาอีก ขนาดยาจะใกล้เคียงกับที่ใช้ในผู้ป่วยโรคจิตเภท

           สาเหตุการเกิกโรคหลงผิด
1. ด้านจิตใจ  เกิดจาการเลี้ยงดู ที่ทำให้เกิดความหวาดระแวงจากโลกภายนอก  บ้างสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทันที่ทำให้เกิดความเครียดสูง นำไปสู่การเกิดอาการของโรค
2. ด้านสังคม  ความเครียดสูงทางด้านฐานะเศรษฐกิจตกต่ำ
3. ด้านชีวภาพ เกิดจาก hemispheric dysfunction โดยเฉพาะในสมองซีกซ้าย เนื่องจากสมองทั้งสองซีกทำงานประสานกันในการรับรู้และประเมินข้อมูลต่างๆ




วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ของหนักๆ ใครๆ ก็ยกได้ ภัยร้ายจากโรคปวดกล้ามเนื้อ

       เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2556 ฉันได้ทำงานอยู่บ้านแบบใช้แรงมากๆ  เลยเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาของโรคปวดหลัง สาเหตุของการทำให้ปวดหลัง
   1. ยกข้าวเปลือก  3 กระสอบ
   2. ลากกระสอบทราบ 20 กว่าถุง
  3. ขุดดินถมรั่วหน้าบ้าน
  4. ขุดร่องระบายน้ำกว้าง 1 ฟุต
  5. ขนน้ำดื่มถัง 4 ถัง
  6.  ยกกระสอบข้าวสาร 2 ถุงปุ๋ย
      การทำงานที่ต้องใช้แรงยกของที่หนักเกินกว่ากำลังอาจทำให้หลังได้รับความเสียหายมาก จากกระดูกสันหลังที่ต้องรับแรงกดทับจากของหนัก ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณช่วงเอว ซึ่งเป็นส่วนที่ร่างกายมีความยืดหยุ่นมาอยู่แล้ว ส่งผลกระทบไปยังกระดูกส่วนข้อตรงบริเวณที่รับน้ำหนักมากเกินควร อาจทำให้เกิดโรคหมอนรองกระดูกปรินออกมาได้  เรามารู้จักโรคปวดหลังกันดีกว่า

        โรคปวดกล้ามเนื้อ
อาการปวดหลังมักพบได้บ่อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวัยหนุ่มสาวหรือวัยอื่่นๆ ซึ่งจะมีอันตรายที่ไม่ร้ายแรง อาจจะหายด้วยตนเองได้ หรืออาจจะเป็นรื้อรัง

อาการเกิดมาจาก
1. ก้มเงยบ่อยครั้ง
2. ยกของหนัก
3. ท่าของร่างกายในการยกของผิดจังหวะ  หรือผิดท่า


การรักษา
1. สังเกตว่ามีสาเหตุจากอะไร แล้วแก้ไขเสีย เช่น ถ้าปวดหลังตอนตื่นนอน ก็อาจเกิดจากที่ นอนนุ่มไป หรือนอนเตียงสปริงก็แก้ไขโดยนอนบน ที่แข็งและเรียบแทนถ้าปวดหลังตอนเย็น ก็มักจะเกิดจากการนั่งตัวงอตัวเอียง หรือใส่รองเท้าส้นสูง ก็พยายามนั่งให้ถูกท่า หรือเปลี่ยน เป็นรองเท้าธรรมดาแทน ถ้าอ้วนไป ควรพยายามลดน้ำหนัก
2. ถ้ามีอาการปวดมาก ให้นอนหงายบนพื้น แล้วใช้เท้าพาดบนเก้าอี้ให้เข่างอเป็นมุมฉาก สักครู่หนึ่งก็อาจทุเลาได้ หรือจะใช้ยาหม่อง หรือน้ำมันระกำทานวด หรือใช้น้ำอุ่นประคบก็ได้ ถ้าไม่หาย ก็ให้ยาแก้ปวด เช่น แอสไพริน, พาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด จะกินควบกับ
ไดอะซีแพมขนาด 2 มก.ด้วยก็ได้ ถ้ายังไม่หาย อาจให้ยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น เมโทคาร์บา มอล , คาริโซม่า ครั้งละ 1 เม็ด ซ้ำ ได้ทุก 6-8 ชั่วโมง ผู้ป่วยควรนอนที่นอนแข็ง และหมั่นฝึก กายบริหารให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง
3. ถ้าเป็นเรื้อรัง หรือมีอาการชาที่ขา หรือขาไม่มีแรง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ควรแนะนำ ผู้ป่วยไปโรงพยาบาล อาจ ต้องเอกซเรย์หลัง หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาตาม สาเหตุที่พบ


การป้องกันอาการปวดหลัง 
1.) เรียนรู้การใช้กิริยาท่าทางที่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน 
2.) หลีกเหลี่ยงการอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน 3.) หลีกเหลี่ยงการใช้แรงงานมาก ๆ และรู้ถึงขีด 
     จำกัดกำลังของตัวเองในการยกของหนัก 
4.) ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน ซึ่งทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวต้องรับน้ำหนักมาก โดยรับประทาน
     อาหารที่มีประโยชน์ สำหรับร่างกายให้ครบทุกประเภท 
5.) บำรุงรักษาสุขภาพร่างกายทั่วไปให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ ร่วมกับการออกกำลังกายกลางแจ้ง เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ รำมวยจีน จะช่วยลดอาการปวดหลังจากการทำงาน 
6.) ออกกำลังบริหารร่างกาย ป้องกันอาการปวดหลังอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ถึงแม้ในปัจจุบันยังไม่มีอาการ
     ปวดหลัง 
7.) ปรึกษาแพทย์และรับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มมีอาการ หรือสังเกตุเห็นความผิดปกติ




 

การอุดตันของลำไส้เล็ก

           จากเหตุการที่ผ่ามล่วงเลยมานาน ซึ่งเกิดจากการผ่าตัดไส้ติ่งและทำกายภาพไม่เพียงพอเลยทำให้เกิดโรคตามมาอีกโรคหนึ่งคือ โรคลำใส้เล็กอุดตัน  เนื่องมาดิฉันปวดท้องหลังจากการผ่าตัดไส่ติ่งมาเป็นเวลาเกือบ 5 ปี  จะมีอาการ คือ ทานอาหารเข้าไปแล้ว ปวดท้องอย่างรุนแรงหลังรับประทานอาหารเข้าไป และเกิดอาการท้องเสียอย่างเฉียบพัน  เรามารู้จักโรคนี้กันดีกว่า

  โรคลำไส้เล็กอุดตัน

 สาเหตุที่พบบ่อยที่ทำให้เกิดลำไส้อุดตัน
1. เกิดพังผืดบีบรัดลำไส้    หลังจากการผ่าตัดในช่องท้อง  เกิดเนื้อเยื่อพังผืดขึ้นในช่องท้อง อาจเกิด
    หลังการผ่าตัดภายในไม่กี่วันหรือหลายๆปี
2.ไส้เลื่อน คือภาวะที่ลำไส้เลื่อนลงมาอยู่ในช่องที่ผิดปกติ  มักพบบริเวณขาหนีบ สามารถทำให้เกิดภาวะ    ลำไส้อุดตันได้
3.เนื้องอกของลำไส้สามารถทำให้ลำไส้อุดตันได้

การรักษาลำไส้อุดตัน
1.ให้น้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำ เพื่อทดแทนน้ำ และ เกลือแร่
2.ใส่สายยางขนาดเล็กทางจมูกลงไปในกระเพาะอาหาร เพื่อดูดลมและเศษอาหาร
3.งดอาหารทางปาก

อาการที่เกิดกับผู้ป่วยที่มีปัญหาลำไส้อุดตัน
1.ปวดท้อง ลักษณะอาการปวดท้องมักปวดเป็นพักๆ คือมีช่วง เวลาที่ปวดมากและช่วงเวลาที่คลายปวด
2.อาเจียน ลักษณะของอาเจียน อาจเป็นอาหารปนกับน้ำดี  หรือ อาหารที่มีกลิ่นของอุจจาระ
3.ไม่ถ่ายอุจจาระ  ถ้าการอุดตันเป็นเพียงบางส่วน อาจมีอุจจาระ ผ่านออกมาได้บ้าง
4.ท้องอืด  ผู้ป่วยมักมีอาการท้องอืด  มากหรือน้อยแล้วแต่ระดับการอุดตันของลำไส้




แหล่งที่มา จากหนังสือ “สาระน่ารู้ทางศัลยกรรม” 50ปี รพ.ภูมิพลดุลยเดช พ.ศ.2542




ไข้หวัดใหญ่ใครๆ ก็เป็นกันได้

     หลายเดือนที่แล้วแฟนดิฉันมีอาการตัวร้อนมากและปวดตามกล้ามเนื้อ  เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมาก ชวนไปพบแพทย์ก้ไม่ไปบอกอย่างเดียวเดี๋ยวก็หาย เลยนำยาแก้ไข้ให้กินเพื่อบรรเทาอาการไข้ให้ลดลง  ตามมาด้วยการปวดกระบอกตา ไม่มีแรง และทุกวันนี้เลยไม่รู้ว่าแฟนเป็นโรคอะไร และมักจะเป็นบ่อยๆ ต้องพาไปพบแพทย์ให้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าร่างกายของเราผิดปกติเราควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาโรคที่เกิดขึ้นในขณะนั้น

      โรคไข้หวัดใหญ่
   ไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อที่เรียกว่า  influenza virus เป็นการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจจะลามไปถึงปอด  มีไข้สูงกว่าไข้หวัดธรรมดา ปวดกล้ามเนื้อ  ปวดศีรษะอย่างรุนแรง  อ่อนเพลียอย่างรวดเร็ว จะแสดงอาการป่วยออกมาอย่างรวดเร็ว

   อาการของโรคไข้หวัดใหญ่
1.ปวดศีรษอย่างรุนแรง
2. ปวดแขนขา และปวดรอบดวงตา
3. มีไข้สูงมาก  38 - 40 องศา ตามตัวจะร้อง ตาแดง
4. เจ็บคอ มีน้ำมูก หรือไอแห้ง
5. อ่อนเพลีย  เบื่ออาหาร  คลื่นไส้  อาเจียน

   การรักษาไข้หวัดใหญ่
1. ดื่มน้ำ และดื่มน้ำเกลือแร่ ให้มากๆ  เนื่องจากร่างกายสูยเสียน้ำมากทำให้อ่อนเพลีย
2.มีไข้สูงให้ท่านยา พาราเซนตามอน เพื่อบรรเทาอาการไข้ขึ้นสูง
3.มีอาการไอ ควรจิบยาแก้ไอ หรือน้ำอุ่นแทน
4.ไม่ควรท่านยาปฏิชีวนะเพราะใช้ได้เฉพาะเชื้อแบททีเรีย  ไม่ใช้เชื้อไวรัสที่เกิดจากไข้หวัดใหญ่
5.นอนพักผ่อนเยอะๆ ไม่ควรออกกำลังกาย

  การหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นโรคไข้หวัดใหญ่
1.ไอหรือจามควรใช้ผ้าหรือกระดาษทิสชูปิดปากหรือจมูก
2.ล้างมือบ่อย
3.ไม่ใช้ของใช้ร่วมกับใคร หรือผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่
4.ไม่สัมผัสกับผู้ที่เป็นโรคนี้ เมื่อเราป่วยอยู่
5.พักผ่อนให้เพียงพอ